25 มกราคม 2553
เคล็ดลับทำให้ดอกไม้ในแจกันอยู่ได้นาน
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบดอกไม้ หรืออาจจะมีใครให้มาแล้วน้ำมาใส่แจกันไว้ที่บ้านหรือว่าที่โต๊ะทำงาน แต่พอใส่ไว้ไม่นานดอกนั้นที่แสนสวยก็เริ่มจะเหี่ยวไม่สวยงานเหมือนตอนที่ได้มาใหม่ ๆ กันใช่ไหมจ๊ะ
แหม!...เสียดายจังเลย ดอกไม้สวย ๆ อยู่ได้ไม่ทนเลยเป็นเพราะอะไรกันวันนี้มีเคล็ดลับดี ๆ มาเล่าให้เพื่อน ๆ อ่านกันเผื่อจะนำไปใช้ได้
โดยวิธีการ คือ ให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็น ทองแดง ในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา เพียงเท่านี้ดอกไม้ของคุณก็จะสดชื่นเหมือนตัดดอกใหม่และสวยอยู่บนแจกันได้นานขึ้น
ทำไมแต่งงานต้องมีเพื่อนเจ้าสาว
เพื่อนเจ้าสาวเขาก็มีไว้ยืนเฉย ๆ นั่นแหละเพราะสมัยก่อนผู้หญิงไทยมักถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในบ้านจึงออกจะเก้อเขินหรือตกประหม่าเมื่อต้องออกงานสังคมโดยเฉพาะในพิธีสมรสซึ่งเป็นวันสำคัญของชีวิตการมีเพื่อนเจ้าสาวจึงทำให้สาวเจ้าอุ่นใจและไม่เคอะเขินจนเป็นลมไปเสียก่อน---นี่ว่าตาม concept แบบไทย ๆ
ส่วนทางตะวันตกในยุคโบราณนั้นเจ้าสาวกับเพื่อนเจ้าสาวมองดูเหมือนกันมากจนแทบจะแยกไม่ออกเจ้าสาวเลือกเพื่อนเจ้าสาวที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเธอที่สุดและในวันงานเจ้าสาวกับเพื่อนเจ้าสาวก็ยังแต่งตัวด้วยชุดที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ความเหมือนนี้เป็นอุบายที่คนโบราณคิดขึ้นเพื่อลวงให้วิญญาณชั่วร้ายสับสนเนื่องจากเชื่อกันว่าวิญญาณชั่วร้ายอาจริษยาในความสุขและโชคลาภที่กำลังจะมาสู่เจ้าสาวดังนั้นเจ้าสาวจึงแวดล้อมตัวเองด้วยเพื่อนเจ้าสาวซึ่งเหมือนเธอราวกับแกะ ยิ่งเพื่อนเจ้าสาวมีจำนวนมากเท่าใด ยิ่งประกันความปลอดภัยของเจ้าสาวเพิ่มขึ้นเท่านั้น(คล้ายกับคติความเชื่อของคนไทยที่ว่า “คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย”)
ตามกฎของอาณาจักรโรมัน การแต่งงานจำต้องมีสักขีพยาน ๑๐ คน นักประวัติศาสตร์บางคนจึงเชื่อว่า ธรรมเนียมเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวในปัจจุบันน่าจะสืบทอดมาจากยุคโรมันโบราณ
ในเวลาต่อมาเพื่อนเจ้าบ่าวเพื่อนเจ้าสาวมีภารกิจเพิ่มขึ้นโดยต้องทำหน้าที่บอดี้การ์ดให้แก่คู่สมรสด้วย ทั้งนี้ดังปรากฏหลักฐานว่าในสมัยกลางนั้นถือเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่ชายผู้หมายปองเจ้าสาวแต่ไม่สมหวังมักพาสมัครพรรคพวกบุกเข้าชิงตัวเจ้าสาวไปในระหว่างพิธีแต่งงาน
เชื่อกันว่าหญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวนั้นจะนำทั้งลางดีและลางร้ายมาสู่ตนเอง ตัวอย่างเช่น
ถ้าเธอสะดุดล้มระหว่างทางเดินไปยังแท่นพิธี เธอจะหมดโอกาสแต่งงานโดยสิ้นเชิงและถ้าหญิงสาวคนใดทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวครบสามครั้งเธอต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตยกเว้นแต่ว่าเธอจะทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวอีกสี่ครั้งรวมเป็นเจ็ดครั้งทั้งนี้เพราะสำหรับผู้ที่เชื่อถือโชคลางแล้วเลขเจ็ด---จำนวนวันของสัปดาห์ถือเป็นเลขนำโชคเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อถือโชคลางก็แย้งว่าสำหรับหญิงสาวผู้บากบั่นทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวมาถึงเจ็ดครั้งเจ็ดคราแล้วการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อตัวเธอนั้นย่อมต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
11 มกราคม 2553
ทำไมเรียกผีเสื้อ ไม่ได้เป็นผีซะหน่อย
มีคนเคยสันนิษฐานคำว่าพระเสื้อเมืองทรงเมือง ว่า "เสื้อ" คำนี้คงจะเป็น "เชื้อ" คือเชื้อสาย พระเสื้อเมืองก็คือพระเชื้อเมือง โดยหมายถึงว่าเป็นผีเชื้อสายหรือเทวดาที่คุ้มครองรักษาเมืองตามลัทธิของไทยโบราณที่นับถือผีบรรพบุรษปู่ย่าตายาย
สำเนียงไทยทางเหนือบางเหล่าพูดเพี้ยนแปร่งออกเสียงเชื้อเป็นเซื่อหรือเสื้อ พระเชื้อเมืองจึงกลายเป็นเพระเสื้อเมือง เมื่อเขียนแล้วผู้เขียนได้พบท่านเจ้าคุณอนุมานราชธนท่านบอกว่าชอบกล ทำให้ท่านนึกถึงแมลงผีเสื้ออีกอย่างหนึ่งไทยทางเหนือเขาก็ถือกันว่าเป็นผี เพราะถ้าบินมามากๆแล้วทำให้เกิดความเจ็บไข้ตายกันได้
จากปากคำของท่านเสฐียรโกเศศอันเป็นที่เคารพนับถึอ ประกอบกับการได้อ่านพบอะไรมาบางอย่าง จึงทำให้สันนิษฐานว่าผีเสื้อนี้คงจะเป็นผีเชื้ออีกเหมือนกัน
ที่ผู้เขียนได้อ่านพบก็คือในพวกพม่าไทยใหญ่เขาถือกันว่าวิญญาณของคนเหมือนผีเสื้อโบยบินท่องเที่ยวไป ผีเสื้อจึงน่าจะตรงกับผีเชื้อ คือ ผีเชื้อสายปู่ย่าตายาย ตามที่กล่าวมานี้
จึงสันนิษฐานว่า ตัวแมลงที่เราเรียกกันว่าผีเสื้อนี้คงจะมีมูลมาจากไทยเดิมถือกันว่าเป็นวิญญาณของผีเชื้อสาย จึงได้เรียกกันว่าผีเชื้อ แต่หากสำเนียงต่างกัน ผีเชื้อจึงกลายเป็นผีเซื่อ (ถ้าให้ไทยทางเหนือและอีสานเรียกผีเสื้อเราจะฟังออกเสียงเป็นเซื่อชัดๆ) ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นผีเสื้อทำนองเดียวกับพระเชื้อเมืองเป็นพระเสื้อเมืองนั่นเอง
14 ธันวาคม 2552
**ก้างปลาติดคอทำงัยดี**
ก้างปลา ติดคอ ทำไงดี ?
ใครที่เคยมีประสบการณ์ “ก้างปลา” ติดคอ คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดีว่า การกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอย่างไร
แค่จะกลืนน้ำลายตัวเองสุดแสนจะทรมาน บางรายโชคดี ใช้วิธีดื่มน้ำเยอะ ๆ หรือ กลืนข้าวคำโต ๆ แล้วได้ผล แต่หลายคนใช้สารพัดวิธีก็ไม่หาย สุดท้ายต้องโร่ไปให้หมอช่วยเอาออกก็เยอะ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้จึงขอยกข้อมูลจาก ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.นพ.ปารยะ อธิบาย ว่า ก้างปลาติดคอพบได้ทุกช่วงอายุ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาว่าเป็นช่วงอายุใดมากที่สุด และเป็นก้างปลาชนิดใดมากที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่เจอมักจะเป็นปลาทู คงเป็นเพราะประชาชนนิยมบริโภคมากก็เป็นได้ ปลาอื่น ๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อย คนไข้ที่มาหาหมอส่วนมาก ก้างปลาติดคอมา 2-3 วันแล้ว ที่ติดคอปุ๊บมาหาหมอทันทีจะน้อย
ส่วนใหญ่จะรู้วิธีว่า ต้องดื่มน้ำมาก ๆ หรือกลืนข้าวคำโต ๆ ในบางรายก็ใช้ได้ผล เนื่องจากก้างปลาปักอยู่บริเวณตื้น ๆ พอกลืนข้าวก้างก็ติดลงไปกระเพาะ อาหาร สามารถขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าก้างปักลึก การกลืนข้าวคำโต ๆ อาจไปกดก้างให้ปักลึกกว่าเดิม
ดังนั้นในรายที่อาการไม่ดีขึ้นจึงมาหาหมอ เราไม่เคยนับสถิติจำนวนคนไข้ในแต่ละปี แต่ที่ รพ.ศิริราช น่าจะมีคนไข้ประมาณ 2-3 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มักจะมาตอนกลางคืนที่แผนกอุบัติเหตุ หมอทั่วไปตรวจดูแล้วไม่พบก้างปลา ก็จะมาปรึกษาหมอหู คอ จมูก อาการคนไข้ก้างปลาติดคอ คือ เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่คนไข้จะชี้บอกได้เลยว่า เจ็บตรงไหน บวกกับการซักประวัติ ว่าไปทานแกงปลา ปลาทอด กลืนน้ำลายก็เจ็บทุกครั้ง อันนี้เป็นครูที่จะบอกว่ามีปัญหาก้างปลาติดคอคนไข้บางรายปล่อยทิ้งไว้นาน อาจมาด้วยอาการอักเสบ ติดเชื้อ มีหนอง ในช่องคอ โดยเฉพาะถ้าก้างปลาติดที่หลอดอาหาร ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังของหลอดอาหาร จนเกิดการทะลุของหลอดอาหาร เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มระหว่างหัวใจและช่องปอดได้ แต่พบได้น้อย
ตำแหน่งที่พบก้างปลาติดบ่อย คือ บริเวณต่อมทอนซิล บริเวณโคนลิ้น บริเวณฝาปิดกล่องเสียง บริเวณใกล้หลอดรูเปิดทางเดินอาหาร แพทย์หู คอ จมูก จะใช้กระจกเล็ก ๆ เหมือนกับหมอฟัน สวมเฮดไลต์ ที่ศีรษะ ส่องตรวจดู ส่วนใหญ่จะเจอ ก็ใช้อุปกรณ์คีบออกมาในบางรายก้างปลาอยู่ลึก คนไข้อาเจียนง่าย ไม่สามารถเอาก้างออกได้ จะพ่นยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วพยายามอีกที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ออก อาจต้องดมยาสลบ ให้คนไข้นอนแล้วลองดูอีกที แต่ส่วนใหญ่จะสามารถเอาก้างออกได้ที่ห้องตรวจเลย ที่ต้องดมยาสลบมีน้อยรายมาก
ก้างปลาติดคอทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ ?
ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ ที่เจอมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ เจอปักอยู่ที่หลอดอาหารแล้วทะลุออกมาที่คอ เนื่องจากก้างปลาเป็นวัสดุแปลกปลอม ร่างกายจะผลักมันออกมา บางคนทะลุหลอดอาหารมาถึงผิวหนังที่คอก็มี
มีคำแนะนำให้ฝานมะนาวเป็นชิ้นๆ นำมาอมหรือบีบน้ำมะนาวลงคอ ?
ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า สมัยก่อนเชื่อว่ามะนาวจะทำให้ก้างอ่อนลง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็พูดลำบาก เพราะถ้าก้างปลามีแคลเซียมเยอะ ก็คงยากที่มะนาวจะกัดกร่อนหรือสลายไปได้ ท้ายนี้ขอแนะนำว่า การกินปลาทุกครั้งควรมีสติ คือ เอาก้างออกก่อน แล้วกินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ กลืน เพราะจากที่เคยสอบถาม คนไข้ส่วนใหญ่ มักจะกินไปคุยไป ไม่ทันได้ดูว่า ปลาที่ตักใส่ปากมีก้างหรือไม่ พอรีบเคี้ยวรีบกลืน
ก็เลยทำให้ก้างติดคอ
ใครที่เคยมีประสบการณ์ “ก้างปลา” ติดคอ คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดีว่า การกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอย่างไร
แค่จะกลืนน้ำลายตัวเองสุดแสนจะทรมาน บางรายโชคดี ใช้วิธีดื่มน้ำเยอะ ๆ หรือ กลืนข้าวคำโต ๆ แล้วได้ผล แต่หลายคนใช้สารพัดวิธีก็ไม่หาย สุดท้ายต้องโร่ไปให้หมอช่วยเอาออกก็เยอะ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้จึงขอยกข้อมูลจาก ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.นพ.ปารยะ อธิบาย ว่า ก้างปลาติดคอพบได้ทุกช่วงอายุ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาว่าเป็นช่วงอายุใดมากที่สุด และเป็นก้างปลาชนิดใดมากที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่เจอมักจะเป็นปลาทู คงเป็นเพราะประชาชนนิยมบริโภคมากก็เป็นได้ ปลาอื่น ๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อย คนไข้ที่มาหาหมอส่วนมาก ก้างปลาติดคอมา 2-3 วันแล้ว ที่ติดคอปุ๊บมาหาหมอทันทีจะน้อย
ส่วนใหญ่จะรู้วิธีว่า ต้องดื่มน้ำมาก ๆ หรือกลืนข้าวคำโต ๆ ในบางรายก็ใช้ได้ผล เนื่องจากก้างปลาปักอยู่บริเวณตื้น ๆ พอกลืนข้าวก้างก็ติดลงไปกระเพาะ อาหาร สามารถขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าก้างปักลึก การกลืนข้าวคำโต ๆ อาจไปกดก้างให้ปักลึกกว่าเดิม
ดังนั้นในรายที่อาการไม่ดีขึ้นจึงมาหาหมอ เราไม่เคยนับสถิติจำนวนคนไข้ในแต่ละปี แต่ที่ รพ.ศิริราช น่าจะมีคนไข้ประมาณ 2-3 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มักจะมาตอนกลางคืนที่แผนกอุบัติเหตุ หมอทั่วไปตรวจดูแล้วไม่พบก้างปลา ก็จะมาปรึกษาหมอหู คอ จมูก อาการคนไข้ก้างปลาติดคอ คือ เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่คนไข้จะชี้บอกได้เลยว่า เจ็บตรงไหน บวกกับการซักประวัติ ว่าไปทานแกงปลา ปลาทอด กลืนน้ำลายก็เจ็บทุกครั้ง อันนี้เป็นครูที่จะบอกว่ามีปัญหาก้างปลาติดคอคนไข้บางรายปล่อยทิ้งไว้นาน อาจมาด้วยอาการอักเสบ ติดเชื้อ มีหนอง ในช่องคอ โดยเฉพาะถ้าก้างปลาติดที่หลอดอาหาร ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังของหลอดอาหาร จนเกิดการทะลุของหลอดอาหาร เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มระหว่างหัวใจและช่องปอดได้ แต่พบได้น้อย
ตำแหน่งที่พบก้างปลาติดบ่อย คือ บริเวณต่อมทอนซิล บริเวณโคนลิ้น บริเวณฝาปิดกล่องเสียง บริเวณใกล้หลอดรูเปิดทางเดินอาหาร แพทย์หู คอ จมูก จะใช้กระจกเล็ก ๆ เหมือนกับหมอฟัน สวมเฮดไลต์ ที่ศีรษะ ส่องตรวจดู ส่วนใหญ่จะเจอ ก็ใช้อุปกรณ์คีบออกมาในบางรายก้างปลาอยู่ลึก คนไข้อาเจียนง่าย ไม่สามารถเอาก้างออกได้ จะพ่นยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วพยายามอีกที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ออก อาจต้องดมยาสลบ ให้คนไข้นอนแล้วลองดูอีกที แต่ส่วนใหญ่จะสามารถเอาก้างออกได้ที่ห้องตรวจเลย ที่ต้องดมยาสลบมีน้อยรายมาก
ก้างปลาติดคอทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ ?
ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ ที่เจอมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ เจอปักอยู่ที่หลอดอาหารแล้วทะลุออกมาที่คอ เนื่องจากก้างปลาเป็นวัสดุแปลกปลอม ร่างกายจะผลักมันออกมา บางคนทะลุหลอดอาหารมาถึงผิวหนังที่คอก็มี
มีคำแนะนำให้ฝานมะนาวเป็นชิ้นๆ นำมาอมหรือบีบน้ำมะนาวลงคอ ?
ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า สมัยก่อนเชื่อว่ามะนาวจะทำให้ก้างอ่อนลง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็พูดลำบาก เพราะถ้าก้างปลามีแคลเซียมเยอะ ก็คงยากที่มะนาวจะกัดกร่อนหรือสลายไปได้ ท้ายนี้ขอแนะนำว่า การกินปลาทุกครั้งควรมีสติ คือ เอาก้างออกก่อน แล้วกินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ กลืน เพราะจากที่เคยสอบถาม คนไข้ส่วนใหญ่ มักจะกินไปคุยไป ไม่ทันได้ดูว่า ปลาที่ตักใส่ปากมีก้างหรือไม่ พอรีบเคี้ยวรีบกลืน
ก็เลยทำให้ก้างติดคอ
-----------------
ข้อแนะนำสำหรับการสอบสัมภาษณ์งาน
การสัมภาษณ์เป็นส่วนหนึ่งของการได้รับเลือกให้เข้าทำงาน ดังนั้นควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกไปสัมภาษณ์งาน วันนี้มีวิธีมาแนะนำ
1. การสอบสัมภาษณ์งานส่วนใหญ่เริ่มจากการถามประวัติส่วนตัว ฉะนั้นการเล่าประวัติส่วนตัวควรมีความกระชับและเข้าใจได้ในครั้งแรกที่ฟัง
2. ความถนัด สิ่งนี้จะนำไปตัดสินว่าคุณควรจะเข้าทำงานในตำแหน่งใด เพราะในเวลาทำงานจริง จะได้ไม่มีปัญหากับงานที่ได้รับมอบหมาย การทำกิจกรรมหรือการร่วมมือกับหน่วยงาน เป็นการบอกว่าในระหว่างที่เรียนคุณมีการทำกิจกรรมใดมาบ้าง เพื่อจะได้ทราบว่าคุณสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
3. ผลงานที่เคยทำ เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะใช้ในการวัดความสามารถ หากไม่มีก็ไม่ได้หมายความความคุณจะเสียโอกาสเข้าทำงานในที่นั้นๆเตรียมคำตอบให้พร้อม ใส่เสื้อผ้าสีสุภาพ แล้วลุยเลย.
วิธีทำรายงานให้สมบูรณ์
1.หัวข้อเรื่อง โดยทั่วไปอาจารย์จะกำหนดให้ แต่หากน้อง ๆ เลือกเอง ควรเลือกเรื่องที่สนใจ มีขอบเขตเนื้อหาไม่กว้างหรือแคบเกินไป และคาดว่าจะมีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอ จะช่วยให้การทำรายงานสนุกและได้ความรู้เพิ่มขึ้น
2.ค้นคว้าข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต ซีดีที่เกี่ยวข้อง จะได้ความละเอียด แม่นยำ หลากหลาย และทันสมัย สำหรับการค้นจากหนังสือซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานนั้น จะดูจากหนังสืออ้างอิง โดยศึกษาศัพท์เฉพาะไว้เป็นพื้นฐานของเรื่องที่จะทำ รวมทั้งดรรชนีวารสาร ซึ่งจะใช้ค้นบทความจากวารสาร
3.เรียบเรียงข้อมูล โดยวางโครงเรื่องให้เป็นหมวดหมู่ตามลำดับ แบ่งเนื้อหาเป็นบท จากหัวข้อใหญ่ที่มีความสำคัญมาก ตามด้วยหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญรองลงมา จากนั้นเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
4.ทำบรรณานุกรม อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า เพื่อความสมบูรณ์และน่าเชื่อถือของเนื้อหารายงาน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็มาปิดท้ายด้วย 'ชื่อเรื่อง' ควรตั้งให้กะทัดรัด ครอบคลุมเนื้อหา และวัตถุประสงค์ของรายงานที่ทำนอกจากทำรายงานแล้ว การนำเสนอหน้าชั้นก็มีความสำคัญ อย่าลืม! ศึกษาเนื้อหาให้เข้าใจ อาจจดหัวข้อสำคัญไว้ดูเผื่อลืม รวมทั้งฝึกซ้อมพูดก่อนนำเสนอจริง เพื่อความพร้อมและความสมบูรณ์ของงาน.
วิธีแก้ง่วงเวลาเรียน
1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)
2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ
3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ
4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ
5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)
6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ
7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง
8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ
9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน
24 พฤศจิกายน 2552
สาระดี ๆ ดื่มน้ำตอนไหนดี
จากคำแนะนำของแพทย์จีน ว่าด้วยหลักการและเหตุผลชวนของเวลาดี ๆ ในการดื่มน้ำ ลองพิจารณาดูก่อนจะรับไปปฏิบัติต่อ
เวลาดีๆของการดื่มน้ำแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้คือ
- ช่วงแรกทีเดียวก็ตอนตื่นนอน ตอนนี้ความเข้มข้นของเลือดจะสูงมาก เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนมากๆเท่าที่ดื่มได้ อันนี้ลองทำดูแล้วช่วยในการขับถ่ายสะดวกได้มากเลยแหละแต่ควรดื่มในปริมาณพอเหมาะนะคือประมาณ 500 ซีซี รับรองขับถ่ายสะดวก
- ช่วงที่ 2 ของวัน ก็ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว จนเกิดของเสียขึ้นจำนวนหนึ่ง เราให้น้ำมาชำระออกไป การดื่มน้ำช่วงนี้จึงป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดกรดมากเกินไป
- ช่วงบ่าย 3 โมง ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้ง
- ทีนี้ก็มาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดคือช่วงก่อนนอน เพราะเวลานอนความเข้มข้นของเลือดจะสูงมากอีกครั้งหนึ่ง จึงควรดื่มน้ำเพื่อลดความเข้มข้นลงเลือดจะหมุนเวียนสะดวก หลับสบาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)